ข้อมูลจาก...http://www.serverrunea.com
การใช้ ความขัดแย้งกัน ในการเทรด
ถ้าเรามีวิธีที่มีความเสี่ยงตำในการส่งออร์เดอร์ Sell ที่จุดสูงสุดก่อนกลับตัวของขาขึ้น หรือ ออร์เดอร์ Buy ที่ใกล้จุดต่ำสุดของขาลงหล่ะ? และถ้าคุณเปิด ออร์เดอร์ Buy อยู่และคุณสามารถรู้ล่วงหน้าว่าจุดไหนควรจะเป็นจุดที่เหมาะสมในการออร์จากการเทรด แทนที่จะนั่งมองกำไรที่คุณยังไม่ได้เป็นกำไรของคุณเอง คุณกำลังฝันถึงรถในฝัน Aston Martin แต่เพียงแค่คุณขยี้ตาแป๊บเดียว มันเกิดการกลับเทรนด์ขึ้นอย่างรวดเร็ว?
ถ้าคุณคิดว่า ค่าเงินจะยังคงอยู่ในทิศทางขาลงต่อไป แต่ว่าคุณอยากจะส่งออร์เดอร์ Sell ในจุดที่คุณได้ราคาดีกว่านี้อีกหน่อย หรือว่าจุดที่เสี่ยงน้อยกว่านี้อีกหน่อยนึงหล่ะ? ลองมาดูกัน วิธีนี้ เราเรียกว่า ความแตกต่างในการเทรด หรือการเทรดโดยใช้ Divergence สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ความขัดแย้ง สามารถจะมามองเห็นด้วยการเปรียบเทียบพฤติกรรมราคากับ การเคลื่อนไหวของ อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ไม่สำคัญว่าจะเป็น อินดิเคเตอร์ประเภทไหน คุณจะใช้ RSI, MACD, stochastic, CCI, ฯลฯ.
แต่สิ่งสำคัญสำหรับ ความแตกต่าง คือคุณสามารถใช้มันในการเป็นตัวนำทาง ในการตัดสินใจในการเทรดและ วิธีใช้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก ปกติแล้วคุณสามารถจะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเองด้วยการเทรดด้วย ความขัดแย้ง และข้อดีของ ความขัดแย้ง คือ คุณแทบจะซื้อได้ในราคาต่่าสุดของเทรนด์ขาขึ้นและ Sell ได้สูงสุดของเทรนด์ขาลงเลย ซึ่งทำให้คุณลดความเสี่ยงลงไปได้มากและทำให้คุณได้กำไรมากเช่นกัน
Higher Highs and Lower Lows The Divergence [Conflict] in The trade
ให้จำไว้ว่า “Higher highs” และ “lower lows”. ราคาและ ความสมดุลของทิศทางราคาปกติจะไปด้วยกันเหมือนกับ Hansel and Gretel, Batman and Robin, Serena and Venus Williams, เกลือ กับ พริกไทย พอจะเข้าใจไอเดียรึเปล่า?
ถ้าราคา เกิด Higher highs, (ทำราคาสูงสุดครั้งใหม่) ตัว oscillator (MACD RSI ฯลฯ) ควรจะมีรูปแบบ higher highs. ด้วย ถ้าราคาเกิดรูปแบบ Lower lows, ตัว oscillator ก็ควรจะมีรูปแบบ lower lows.ด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าไม่ นั่นหมายความว่าราคาและ Oscillator กำลังเกิดการขัดแย้ง ซึ่งกันและกัน และด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่าการเทรดโดยใช้ ความขัดแย้ง เป็นเครื่องมือ ที่ยอดเยี่ยมที่คุณควรจะมีในกล่องเครื่องมือของคุณเพราะว่าสัณญาณ ความขัดแย้ง ที่คุณได้มานั้นจะบอกเราว่าจะมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และคุณควรจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด
การใช้ Divergence [ความขัดแย้ง] ในการเทรดในการหาจุดกลับตัว หรือว่าเมื่อตลาดหมดแรง บางครั้งคุณอาจจะใช้มันเป็นสัญญาณบอกว่าเทรนด์จะไปต่อรึเปล่าด้วยก็ได้! การเกิดความแตกต่าง มีสองประเภท:
- แบบปกติ
- แบบแฝง
ในบทเรียนนี้ เราจะสอนคุณให้รู้จักกับ ความขัดแย้ง และจะใช้มันในการเทรดได้อย่างไร เรายังมีอะไรให้คุณแปลกใจในตอนท้ายอีกนิดหน่อย
ความขัดแย้ง ปกติ The Divergence in The trade
ความขัดแย้ง ปกติจะใช้ในการบอกว่าอาจจะมีสัญญาณการกลับตัวของเทรนด์เกิดขึ้น ถ้าราคาเกิดรูปแบบ Lower lows (LL), แต่ว่า ตัว oscillator เกิด higher lows (HL), เราเรียกลักษณะการเกิดแบบนี้ว่า regular bullish divergence. หรือว่าการเกิด ความขัดแย้ง ขาขึ้นแบบปกติ
ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการจบเทรนด์ขาลง หรือหลังจากที่มีการเกิดรูป Double bottom ที่สองขึ้นมา ถ้า Oscillator ทำท่าเหมือนจะเกิดราคาต่ำกว่าเดิม (New Low) แต่ว่าทิศทางราคาทำท่าเหมือนว่าจะขึ้น และโมเมนตั้มของราคาก็ดูเหมือนจะขยับไปในทิศทางเดียวกัน ข้างล่างนี้เป็นภาพตัวอย่างของ Regular bullish divergence หรือการเกิดความขัดแย้ง ขาขึ้นแบบปกติ
ตอนนี้ ถ้าราคาได้เกิด Higher high (HH), แต่ว่าตัว oscillator กลับเกิด Lower high (LH), คุณก็จะได้สัญญาณ regular bearish divergence หรือ ความขัดแย้ง ขาลงแบบปกติ ความขัดแย้ง ลักษณะนี้ สามารถพบได้ในขาขึ้น หรือหลังจากที่ราคาเกิดราคาสูงสุดครั้งใหม่ ถ้าตัว Oscillator เกิด Lower High คุณอาจจะคาดได้ว่าราคากำลังจะเกิดจุดกลับตัวและร่วงลงมา ในรูปข้างล่างนี้ เราจะเห็นว่าราคาเกิดจุดกลับตัวหลังจากที่มันพยายามทำราคาสูงสุดครั้งใหม่
จากที่คุณได้เห็นจากรูปข้างบน การเกิด ความขัดแย้ง แบบปกติเหมาะสำหรับการเข้าออร์เดอร์ในจุดที่่ต่ำสุดหรือสูงสุด ซึ่งคุณจะใช้ในการมองว่าจุดไหนจะเป็นจดกลับตัวส่วนตัวสัณญาณ Oscillator นั้น ถ้ามันเริ่มที่จะมีการ ความขัดแย้ง แล้ว ถึงแม้พฤติกรรมของราคายังจะเกิด higher high (or lower low) นั่นหมายความว่าเทรนด์จะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป.
Divergence แฝง
ตัว Divergence นั้นนอกจากจะให้สัณญาณจุดกลับตัวแล้วยังใช้ในการบอกสัญญาณว่าจะเกิดเทรนด์ต่อเนื่องหรือไม่ด้วย และจำไว้อยู่เสมอว่า เทรนด์เป็นเสมือนเพื่อนของคุณ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้สัญญาณว่าจะเกิดเทรนด์อย่างต่อเนื่อง คุณก็ควรจะรู้ว่าควรจะต้องทำยังไงหล่ะ !
Hidden bullish divergence หรือ ความขัดแย้ง ขาลงแบบแฝง เกิดขึ้นเมื่อราคาได้เกิด higher low (HL) (การปิดสูงกว่าราคา Low) แต่ว่าตัว oscillator กลับให้สัญญาณ lower low (LL).
สัญญาณนี้หมายความว่าค่าเงินนั้นกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เมื่อราคาเกิด Higher low ให้จับตาดูว่าถ้าตัว oscillator มีความเคลื่อนไหวคล้ายกัน แต่ถ้าตัว Oscillator ไม่ได้เกิดสัญญาณ lower low คุณก็จะได้สัญญาณ hidden divergence หรือสัณญาณ ความขัดแย้ง แฝงมา
ตอนนี้เราจะได้สัญญาณ สัญญาณ Hidden bearish Divergence หรือสัณญาณ ความขัดแย้ง ขาขึ้นแฝง ซึ่งรูปแบบนี้จะเกิดเมื่อตลาดให้สัญญาณ lower high (LH) แต่ตัว oscillator ก่าลังทำรูปแบบ higher high (HH). คุณอาจจะคิดว่าเป็นรูปแบบของเทรนด์ขาลง เมื่อคุณเจอรูปแบบ Hidden bearish divergence นั่นหมายความว่า โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่องเป็นไปได้สูง
ทีนี้เราลองมาทบทวนบทเรียนกันนิดหน่อย ที่คุณได้เรียนมาทั้งหมด เกี่ยว Hidden divergence หรือสัญญาณ ความขัดแย้ง แฝง ถ้าคุณเล่นแบบ Trend follower (เทรดตามเทรนด์) คุณควรจะใช้เวลาในการศึกษารูปแบบ hidden divergence นี้บ้าง
ถ้าคุณเอาใจใส่มัน บางทีมันอาจจะช่วยคุณเข้าเทรนด์ในช่วงที่กำลังเกิดเทรนด์ได้ดูเข้าท่าใช่มั๊ย? โอเค ตอนนี้เรารู้เกี่ยวกับ regular (แบบปกติ) และ hidden(แบบแฝง) divergence. เราหวังว่าคุณจะได้กำไรจาก Divergence และจำไว้เสมอว่า regular divergences เป็นสัญญาณว่าอาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ขณะที่ hidden divergences เป็นสัญญาณว่าเทรนด์จะยังคงมีต่อไป ในบทต่อไป เราจะยกตัวอย่างจากตัวอย่างจริงและคุณจะเทรดอย่างไรกับการใช้ ความแตกต่าง
เราจะใช้ ความขัดแย้ง ในการเทรดได้อย่างไร?
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะใช้ Jedi-divergence ของเจได (สตาวอร์) ในการทำกำไรจากตลาดแล้วเราจะยกตัวอย่างให้คุณซักตัวอย่างหนึ่งเมื่อมีการเกิด ความขัดแย้ง ระหว่างราคากับการเคลื่อนไหวของ oscillator ขึ้น สิ่งแรก ให้มาดู ความขัดแย้ง แบบ regular divergence ก่อน ข้างล่างนี้เป็นกราฟของคู่เงิน USD/CHF กราฟวัน
เราจะเห็นการร่วงลงของราคาในเทรนด์ขาลงซึ่ง USD/CHF กำลังอยู่ในเทรนด์ขาลง อย่างไรก็ตาม มีสัณญาณบอกว่าขาลงกำลังจะหมดไป ขณะที่ราคาได้เกิดรูปแบบ Lower lows (ตามกราฟแท่งเทียน) แต่ stochastic (ตัวอินดิเคเตอร์ที่เราเลือกใช้) ก่าลังแสดงภาวะ higher low. ไม่ยากเลยใช่มั๊ย แล้วมันเกิดการกลับตัวในท้ายที่สุดหรือไม่ เป็นเวลาที่ต้องส่งออร์เดอร์ Buy หรือไม่??
ถ้าคำตอบที่มีอยู่ในใจของคุณ คือ ใช่ ในคำถามที่เราถามไป คุณจะพบว่า คุณกำลังอยู่ที่แคริบเบี้ยนกำลังดื่มมาการิต้า เพราะคุณได้กำไรเยอะแย่จากตรงจุดนั้น! ผลที่ออกมาคือ การเกิดความขัดแย้ง ระหว่าง stochastic และพฤติกรรมราคาเป็นสัญญาณที่ดีในการส่งคำสั่ง Buy ราคาทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ขาลงขึ้นไปและเกิดรูแบบเทรนด์ขาขึ้นใหม่ ถ้าคุณซื้อที่ใกล้จุดต่ำสุด คุณสามารถทำกำไรได้มากกว่าพันจุด ซึ่งราคายังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องในเดือนดังกล่าว
ตอนนี้คุณจะเห็นแล้วว่ามันสามารถบอกเราได้ว่าจะเกิดการกลับเทรนด์ซึ่งทำให้เราเข้าเทรดได้เร็วขึ้น! ก่อนที่เราจะไปในเรื่องต่อไป คุณสังเกตุเห็นอะไรจากราคา Low ที่เกิดขึ้นครั้งที่สองบ้าง? ดูที่สัณญาณตัวอื่น ที่ให้สัญญาณว่าเป็นจุดกลับเทรนด์ ว่ามันให้การยืนยันสัญญาณว่าเทรนด์กำลังจะจบและมันทำให้เรามั่นใจกับสัญญาณที่เราได้รับจากการเทรดโดยใช้ความขัดแย้งมากขึ้น ! ต่อไปเรามาดุตัวอย่างของรูปแบบ Hidden divergence กันบ้าง อีกครั้งเราลองมาดูที่กราฟ USD/CHF กันบ้าง ในกราฟวัน.
ทีนี้เราจะมาดูว่า ค่าเงินคู่นั้นอยู่ในขาลงยังไง สังเกตุที่ราคาได้เกิดรูปแบบ Lower High แต่ว่าตัว stochastic กำลังเกิด higher high ขึ้น ตามหลักการที่เราเรียนรู้มา นี่เป็น รูปแบบ Hidden bearish divergence! อืมมมมมแล้วเราควรจะทำอย่างไร หมายความว่า เทรนด์จะเกิดต่อไปใช่ไหม? ?เอ่อ ถ้าเกิดว่าคุณไม่แน่ใจ คุณสามารถดูเฉย ๆ ว่าหลังจากนั้นก็ได้
ถ้าคุณตัดสินใจนั่งดูมันเฉยๆ บางทีคุณอาจจะหัวล้านเหมือนกับ Professor Xavier(X-men) เพราะว่าคุณหงุดหงิดตัวเองจนกระชากผมตัวเองออกหมดเลยทำไมหรอ? เพราะว่า ราคามันยังเป็นขาลงต่อหน่ะสิ ! ราคาดีดออกจากเส้นเทรนด์ไลน์ และร่วงลงไปเกือบจะสองพันจุด ลองคิดดูว่าถ้าคุณใช้ ความขัดแย้ง แล้วคุณจะสามารถเห็นสัญญาณกลับตัวล่วงหน้าหรือว่า สัญญาณการเกิดเทรนด์ต่อไปดูสิ? ไม่เพียงแต่คุณกำลังจิบมาการิต้าอยู่ในแคริเบียนเท่านั้น คุณอาจจะมีสาว ๆ มานั่งล้อมรอบด้วยๆ !
เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆเกี่ยวกับMomentum
ขณะที่การใช้ ความขัดแย้ง ในการเทรดนั้นเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมนั้นในกล่องเครื่องมือขอคุณแล้ว คุณยังต้องเอาใจใส่กับการไม่เข้าเทรด เร็วเกินไปด้วย เพราะว่าคุณไม่ได้รอให้เกิดสัญญาณยืนยันเสียก่อน ข้างล่างเป็นเกร็ดเล็ก น้อย ที่จะใช้ในการยืนยันสัญญาณว่า ความขัดแย้ง ที่ให้มีความแม่นยำขนาดไหน
รอให้เกิดการ Crossover (ตัดข้ามเส้น)
ไม่ได้สำคัญมากมายหรอก แต่เป็นเหมือนกับกฏมากกว่า เช่นว่ารอให้เกิดการตัดข้ามเส้น อินดิเคเตอร์ก่อน ซึ่งมันจะช่วยยืนยันเราได้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณ Buy หรือสัญญาณ Sell เหตุผลหลัก ในเรื่องนี้ที่คุณจะต้องรู้จักรอ เพราะว่าการเกิดรูปแบบ ความขัดแย้ง ยังไม่ชัดเจนพอที่เราจะยืนยันได้ว่ามันเกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นแล้ว !
ในกราฟข้างบน ค่าเงินปรากฏรูปแบบ Lower highs ขณะที่ Stochastic เกิดรูปแบบ Higher high ตอนนี้ซึ่งตอนนี้สัณญาณ bearish divergence ณจุดนี้และมันเหมาะที่เราจะส่งออร์เดอร์ Sell แต่คุณรู้ไหม เราควรจะรอดูมันซักหน่อย คืออย่างน้อยรอให้ Stochastic เกิดรูปแบบการตัดลงก่อน เพื่อยืนยันสัณญาณว่าเป็นขาลงต่อเนื่องจริง ๆ
หลังจากนั้นไม่กี่แท่ง Stochastic ก็ตัดข้ามกันลงมา ถ้าเรา เทรดบน bearish divergence นี้ทำให้เราได้กำไรอย่างแน่นอน! ในความหลักของเรื่องนี้ก็คือ ให้อดทนรอ อย่าพึ่งกระโดดเข้าตลาดทันทีเพราะว่าคุณจะไม่รู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหนจริง ๆ เมื่อมีการสร้างรูปแบบชัดเจนแล้วเท่านั้น ถ้าคุณไม่อดทน คุณอาจจะล้างพอร์ดได้ ! ให้หลุดแนว Overbought / oversold อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องรอให้ Momentum ในอินดิเคเตอร์ของเราชนแนว overbought และ oversold ของเราเสียก่อน และให้รอมันหลุดแนว Overbought และ Oversold ลงมา เพื่อเป็น
การยืนยันสัญญาณ
เหตุผลในเรื่องนี้ก็เหมือนๆกัน กับการรอให้เกิดการ Crossover ของอินดิเคเตอร์ (Stochastic) คุณไม่ควรจะเข้าเทรดเมื่อ Momentum ของอินดิเคเตอร์กำลังจะยกตัวขึ้นสมมุติว่าคุณกำลังดูที่กราฟ และสังเกตุว่า Stochastic ได้เกิดราคาต่ำสูดครั้งใหม่ขึ้น (NewLow) แต่ว่ากราฟแท่งเทียนไม่ได้แสดงอย่างนั้น
คุณอาจจะคิดว่า มันเป็นเวลาที่เราจะต้องส่งออร์เดอร์ Buy เพราะว่าอินดิเคเตอร์กำลังบอกเราว่ามันเกิดภาวะ Oversold และ ก็เกิด ความขัดแย้ง แล้วด้วย อย่างไรก็ตาม แรงขายอาจจะเพิ่มเข้ามาและราคาอาจจะท่าราคาต่ำสุดครั้งใหม่ขึ้นอีก คุณอาจจะผิดหวังเมื่อคุณคิดว่าเทรนด์ไม่ได้ไปต่อ จริง ๆ แล้วเทรนด์ขาลงครั้งใหม่อาจจะก่าลังก่อตัวขึ้นเพราะว่ามันกำลังเกิด Lower high แต่ถ้าคุณดื้อ คุณอาจจะพลาดขาลงต่อไปที่จะเกิดขึ้นนี้ ถ้าคุณรออย่างอดทน ให้เกิดการยืนยันสัญญาณ คุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนและเข้าใจว่าเทรนด์ครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้น
วาดเส้น Trend lines ในตัวอินดิเคเตอร์
ฟังดูอาจจะน่าหัวเราะ ไปซักหน่อยซึ่งปกติคุณจะวาดเส้นเทรนด์ไลน์ในกราฟแท่งเทียนเท่านั้น แต่ว่า มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราอยากจะให้คุณรู้ มันไม่ได้ทำให้คุณเสียตังค์หรอกที่จะมีอาวุธอีกซักอันไว้ในคลังอาวุธของคุณ จริงมั๊ย? คุณไม่รู้หรอกว่ามันอาจจะได้ใช้ก็ได้ในวันหน้า ! เคล็ดลับนี้เป็นประโยชน์เมื่อเรากำลังมองการจุดกลับตัว หรือว่าการเกิดเบรคเอาท์ เมื่อคุณเห็นราคาสามารถวาดเทรนด์ไลน์ได้ ให้คุณวาดเส้นเทรนด์ไลน์ในตัวอินดิเคเตอร์ของคุณเข้าไปด้วย
คุณจะเห็นว่า อินดิเคเตอร์ที่เราใช้นั้นยังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับเทรนด์ไลน์เลย ถ้าคุณเห็นราคาทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน และตัวอินดิเคเตอร์ที่เราใช้มันทะลุเส้นเทรนไลน์ขึ้นมาหมายความว่าอาจจะเกิดการกลับเทรนด์ขึ้นได้ ใช่ทะลุขึ้นไป Break it down เหมือนกับ มิวสิควีดีโอของไมเคิลแจ็คสันเลย!
กฏ 9 ข้อในการใช้ Divergence [ความขัดแย้ง]
ก่อนที่เราจะเริ่มไปศึกษาด้วยตัวคุณเองเรามาลองดูกฏของมันทั้งเก้าขอก่อนที่จะไปเทรดด้วย ความขัดแย้ง กันให้คุณเรียนรู้กฏ จดจำกฏ (หรือย้อนกลับมาอ่านตรงนี้บ่อย ๆ ก็ได้) และประยุกต์ใช้ในการเทรดของคุณให้ดีขึ้น หรือ ไม่ก็ช่างมัน ข้ามไปแล้วก็ เตรียมล้างพอร์ท
ดูให้ดีซะก่อนว่าแว่นคุณใสสะอาดดีรึเปล่า
ในการเกิด ความขัดแย้ง นั้น ราคามักจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้:
- Higher high สูงกว่าราคา high ก่อนหน้า
- Lower low ต่่ากว่า ราคา low ก่อนห้า
- Double top
- Double bottom
อย่าพึ่งไปดูตัวอินดิเคเตอร์ ถ้าเกิดว่าไม่มีการเกิดรูปแบบนี้ขึ้นมา ถ้าคุณไม่ได้ทำตาม คุณก็ไม่ได้เป็นนักเทรด ความขัดแย้ง หรอก คุณเป็นแค่นักเทรดที่ใช้จินตนาการคิดไปเอง และให้รีบไปเข้าร้านตัดแว่น หาแว่นใหม่ซักอันดีกว่า
วาดเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ราคา สูงสุด และราคาต่ำสุด
โอเค ตอนนี้คุณต้องลองวาดดูแล้ว(ตามราคาตอนนี้) ลองดูในกราฟที่เรามีตามภาพ จำไว้ว่า คุณจะต้องเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ก่อน : Higher high, หรือ New high, lower low, หรือ New low. แล้วลองวาดเส้นจากจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของราคาแล้วลากย้อนกลับจากจุดังกล่าวไปยังจุดต่ำสุด หรือสูงสุดก่อนหน้านี้ ซึ่งมันก็น่าจะได้เส้นตามที่เราคาดไว้ แม้ว่าคุณจะเห็นว่าราคามัน ขึ้นๆ ลง ๆ อยู่บ้างแต่ไม่ต้องไปสนใจ ท่าในสิ่งที่คุณต้องท่า แม้ว่าคนอื่นจะว่ายังไงก็ตาม
ทำในสิ่งที่ถูกต้อง – ให้ลาก TOPS และ BOTTOMS เท่านั้น
เมื่อคุณเห็นราคาทำ High สองครั้ง ให้คุณลากเส้นจากจุด Top อีกตัวหนึ่ง มายังจุด Top อีกที่หนึ่ง ตอนนี้คุณก็จะได้เส้นมา และในทางกลับกัน ถ้าเกิดราคาต่่าสุดสองครั้งคุณก็ทำเช่นเดียวกัน กับ Bottomsอย่าตัดสินใจผิด ๆ ด้วยการลากเส้นโดยการที่คุณเห็นว่ามีเส้น Bottom เมื่อคุณเห็นมันเกิด จุด High สองจุด มันไม่เข้าท่าเลยจริง ๆ ท่าให้เราเกิดความสับสนขึ้นได้
จับตาดูที่ราคาตลอด
ถ้าคุณได้เชื่อมหรือลากเส้นจากจุด Top หรือ Bottom ทั้งสองมาชนกันแล้วตอนนี้ ให้มองหาอินดิเคเตอร์ที่คุณจะใช้ในการเปรียบเทียบกับพฤติกรรมราคานี้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณอยากใช้ จำไว้ว่าให้เปรียบเทียบ Top หรือ Bottom ซึ่งบางตัวอย่างเช่น MACD หรือว่า stochastic มีเส้นสองเส้นและวิ่งขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนอารมณ์ไวรุ่น อย่าไปกังวลว่ามันจะเป็นอย่างไรทำในสิ่งที่คุณควรจะทำ
ให้ที่ทำตัวเหมือนกับ Pip Diddy (วาทยากรคนหนึ่ง)
ถ้าคุณลากเส้นเชื่องระหว่างจดสองจุดแล้ว คุณต้องลากเส้นเหมือนกับที่คุณทำในกราฟแท่งเทียนในอินดิเคเตอร์ของคุณด้วย ทั้ง High และ Low เพื่อให้มันสัมพันธ์กัน
ให้ตรงกับแนว
จุด High หรือ low ที่คุณวิเคราะห์ออกมาในอินดิเคเตอร์ของคุณต้องเป็นแนวเดียวกันกับราคาในกราฟที่เกิดรูปแบบ High หรือ Low เหมือนกับว่าคุณกำลังเลือกชุดไปเที่ยวผับนั่นแหละ คุณต้องแต่งตัวให้แมทช์กัน โย่ววว!
ใช้ความชันของกราฟ
ความขัดแย้ง จะเกิดขึ้นเมื่อ ความชันของกราฟนั้นแตกต่างกัน ระหว่างความชันของกราฟ กับความชันของ Indicator ซึ่งความชันอาจจะออกมาในรูปของ: Ascending (เฉียงขึ้น) descending (เฉียงลง) Flat (ราบ)
ถ้าเราตกเรือแล้ว ให้รอลำต่อไป
ถ้าคุณจะเทรดโดยใช้ ความขัดแย้ง แต่ว่าราคานั้นได้วิ่งไปไกลแล้ว ซึ่งหมายความว่ามันเกิดเทรนด์ไปแล้วนั่นเอง สิ่งที่คุณควรจะทำคือ รอ แลรอให้มันเกิดการสวิง High Low ครั้งต่อไป
กลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
สัณญาณ ความขัดแย้ง นั้นดูจะใช้ได้ในกราฟที่ Time Frame ยาว ๆ คุณจะไม่ค่อยพบสัณญาณหลอกมากนัก ซึ่งหมายความว่าคุณก็ไม่ได้เทรดบ่อยมากนักด้วยแต่ถ้าคุณวางลักษณะการเทรดของคุณดี ๆ ก่าไรที่คุณจะได้ก็เป็นกำไรก้อนโต ๆ แต่ถ้าเราใช้ใน Time Frame ที่สั้นหน่อย มันก็จะไม่ค่อยน่าเชือถือซักเท่าไหร่ เราแนะนำให้คุณใช้กับกราฟ Time Frame หนึ่งชั่วโมงขึ้นไป บางคนใช้กับกราฟ 15 นาที หรือน้อยกว่านี้อีก ทำให้มีสัณญาณหลอกมากมายเต็มไปหมด ซึ่งเราควรจะอยู่ห่าง ๆ ไว้ดีกว่า
ตอนนี้คุณก็ได้กฏทั้ง 9 ข้อคุณต้องท่าตามกฏ ถ้าคุณอยากจะใช้ ความขัดแย้ง ในการเทรด เชื่อเราสิ คุณไม่อยากจะแหกกฏนี้หรอกท่าตามกฏ และคุณก็จะกลายเป็นนักเทรดความขัดแย้ง ที่มีความช่านาญและได้ก่าไรมากขึ้น ตอนนี้ลองกลับไปดูกราฟของคุณเอง ถ้าคุณเห็นว่ามี ความขัดแย้ง เกิดขึ้นในกราฟคุณที่ผ่านมาแสดงว่าคุณมีแววที่จะใช้ความขัดแย้ง ในการเทรดของคุณได้
สมุดเล็คเชอร์ Divergence [ความขัดแย้ง]
มาทบทวนทั้งหมดที่เราเรียนไปกันหน่อย ! มี Divergence อยู่สองประเภท:
ความขัดแย้ง รูปแบบปกติ
ความขัดแย้ง รูปแบบแฝง
ความขัดแย้ง แต่ละประเภทนั้นจะเป็นตัวกำหนดภาวะกระทิงและภาวะหมี
หลังจากที่คุณเรียนกับเรามาอย่างหนัก ไม่เคยโดดเรียนเลย เราอยากจะช่วยคุณ (เพราะเราเป็นสุภาพบุรุษ) โดยการให้ สมุดเล็กเชอร์ของเราที่ช่วยให้คุณ บอกว่าแบบไหนเป็น ความขัดแย้ง แบบปกติ หรือ เป็นแบบแฝงได้เร็วยิ่งขึ้น
บันทึกทั้งหมดนี่ลงใน ปาล์ม(PDA) ของคุณเมื่อคุณเทรด ถ้าคุณเป็นประเภทที่เหงือออกมือเต็มไปหมด เราไม่แนะนำวิธีนี้
แค่ทำคั่นหน้านี้ไว้ และแค่เปิดมาดูเมื่อเกิด รูปแบบกราฟดังต่อไปนี้ higher lows,lower highs, lower lows, and higher highs. คุณไม่อยากจะเดาในการเทรดของคุณใช่มั๊ย?เมื่อโอกาสมาถึง
สรุป : Divergences
กรุณาจำไว้ว่า เราใช้ ความขัดแย้ง เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่สัญญาณในการเข้าเทรด !
การเทรดโดยใช้ ความขัดแย้ง จะไม่เหมาะ หรือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อสัญญาณ ความขัดแย้ง นั้นก่อให้กิดสัญญาณหลอกมากมาย มันไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ยืนยันให้คุณได้ 100
เปอร์เซ็นต์ แต่ว่า เมื่อคุณใช้มันตามเงื่อนไขที่เราก่าหนดไว้ก่อนหน้านี้ รวมกับเครื่องมือยืนยันสัญญาณอื่น ๆ การเทรดของคุณก็มีโอกาสสูงที่คุณจทำกำไรได้และมีความเสี่ยงต่ำ
มีวิธีสองวิธีในการใช้ Divergence [ความขัดแย้ง] อย่างไรให้ได้เปรียบหรือเกิดประโยชน์มากที่สุด
วิธีแรก คือ ให้มองหาเทรนด์ หรือใช้รูปแบบของกราฟแท่งเทียนในการยืนยันทั้ง จุดกลับตัวหรือจุดที่คิดว่าเทรนด์จะไปต่อในการส่งออร์เดอร์
ส่วนอีกวิธีคือ การใช้ โมเมนตั้ม โดยการดูจุดที่มันตัดกันของ Oscillator หรือรอให้ เครื่องมือของเราหลุดออกจากโซน Overbought Oversold เสียก่อน หรือใช้การวาดเส้นเทรนด์ไลน์ในตัวเครื่องมือ Oscillator ด้วยก็ได้
ด้วยเทคนิคเหล่านี้ คุณสามารถป้องกันตัวคุณเองจากสัณญาณหลอก และสามารถกรองหาจุดที่คิดว่าสามารถทำกำไรได้ถ้าเราเทรดตรงข้ามกับ อินดิเคเตอร์ของเรามันอันตรายมาก
ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าเราควรจะเทรดในทิศทางไหน ก็อย่าพึ่งเทรดให้นั่งสังเกตุการณ์ไปก่อน จำไว้ว่าการไม่เทรดก็เป็นการตัดสินใจในการเทรดแบบหนึ่งและพยายามรักษากำไรไว้แทนที่จะไปนั่งเสียในสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ความขัดแย้ง จะไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นคุณควรจะต้องให้ความสนใจมันมากหน่อย เพราะมันทำผลตอบแทนได้มหาศาล ความขัดแย้ง แบบปกติช่วยคุณสามารถสะสมกำไรก้อนใหญ่ๆ เพราะว่า มันทำให้คุณเข้าได้ถูกทิศทางและเข้าตอนที่เทรนด์กำลังก่อตัว ความขัดแย้ง แบบแฝง จะบอกคุณว่าเทรนด์กำลังจะไปต่อ ทำให้คุณสามารถขี่เทรนด์และทำกำไรได้มากกว่าที่คุณคาดคิดเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการฝึกสายตาของคุณให้หาจุด ความขัดแย้ง เมื่อมันเกิดขึ้นได้ง่ายและใช้ ความขัดแย้ง ในการเทรดได้ถูกต้อง ถ้าเพียงเพราะว่าคุณเห็นและคิดว่ามันเป็น ความขัดแย้ง มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรีบกระโดดเข้าเทรด ให้เลือกจุดที่คุณคิดว่าดีที่สุดเท่านั้นและคุณจะเทรดได้ดี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น