วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

 Price Movement


คนที่หลงอยู่ในป่า กับคนที่อยู่บนหน้าผามองเห็นคนที่หลงป่าอยู่ ใครจะหาเส้นทางที่ถูกต้องได้มากกว่ากัน

ก่อนจะเริ่มดูรูปแบบการวิ่งของราคาสิ่งที่เราควรทำก่อนคือ ดูที่ timeframe 1H/4H แล้ว zoom out ออกมา
เพราะการวางแผนการรบ เราไม่ควรวางแผนขณะที่รบพุ่งอยู่ในแนวหน้า แต่ควรถอยออกมาให้มากที่สุด
ที่ยังเห็นการรบชัดเจน และมองในตำแหน่งที่สูงที่สุด

เราแบ่งรูปแบบการวิ่งของราคาได้ 4 แบบ
1.แนวนอน - horizontal
2.แนวตั้ง - vertical
3.แนวทแยง - diagonal
4.แนวบีบตัว - squeeze

1.แนวนอน - horizontal 
  เป็นช่วงเวลาที่ sm กำลังวางแผนบางอย่างเพื่อทำกำไรอยู่ แต่หากดูที่ time frame สั้นๆ ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีการ trade
  ก็อาจจะเห็นเป็นsidewayได้ sidewayแบบนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆในการวิเคราะห์
  แบ่งได้อีกเป็น แบบ
  channel - เป็น zoneแนวนอนแคบๆ วิ่งขึ้นลงระหว่างแนวรับและแนวต้าน
  step - วิ่งขึ้นลงระหว่างแนวรับและแนวต้านและพักตัวเป็น block เล็กๆที่แนวรับและแนวต้าน มักพบได้ใน time frame สั้นๆ
  โดยมีตัวอย่างการวิ่งตามรูป



2.แนวตั้ง - vertical 
  การวิ่งในแนวตั้งจะเกิดจากการ break out ออกจาก accumulation/distribution zone และวิ่งอย่างรวดเร็วรุนแรง
  เนื่องจาก demand หรือ supply ขาดตลาด
  การจะเกิดการวิ่งแนวตั้งได้มักเกิดจาก
  SM Set up(จัดฉาก) - เมื่อ sm สามารถคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จ จะเกิดการวิ่งแนวตั้งที่รุนแรงและทำให้เกิด momentum ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
  ข่าวแรงๆที่มีผลต่อภาพรวมเศรษกิจ - เช่น GDP ตั้งเป้าไว้ว่าเป็น + แต่กลับติดลบ หรือกรณีของดูไบเวิร์ลขอพักชำระหนี้
  ทำให้นักลงทุนปล่อยของที่อยู่ในมือพร้อมๆกัน พร้อมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกถึงทิศทางของราคาอยู่ในใจ smเองก็ต้องปล่อยออกไปบางส่วน
  เพื่อลดความเสี่ยง

3.แนวทแยง - diagonal
  มักเกิดจากmomentumที่ส่งต่อมาจากการวิ่งแบบแนวตั้ง ซึ่งก็คือตลาดมีเทรนด์นั่นเอง ในหัวข้อนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก
  เราจะเอาไว้ลงลึกในคราวหลัง

4.แนวบีบตัว - squeeze
  เราจะเห็นได้เมื่อราคาวิ่ง ขึ้น-ลง โดยไม่มีการพักตัว และบีบเข้าหาzoneที่แคบลงเรื่อยๆ เป็นรูป 3 เหลี่ยม เหมือนเอาไม้เทนนิส
  กดลูกเทนนิสที่กำลังเด้งแรงๆอยู่ พลังงานที่สะสมอยู่ในช่องแคบๆจึงมีมาก(ตัดการสูญเสียพลังงานจากการชนทิ้งไป) พร้อมจะพุ่ง
  ออกไปทางใดทางหนึ่ง

ต่อไปเราจะดูตัวอย่างกราฟและพยายามตีความ การวิ่งของราคา






1.side way step - sm กำลังจัดฉาก(set up) ทำการกวาดdemandออกไป จากตลาด(short)
2.break out เป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์
3.momentum เป็นผลต่อเนื่องจากการ break out
4.เทรนด์เปลี่ยนทิศ จากการปล่อยของทำกำไร แต่ไม่มีsideway ไม่มีbreak out มารองรับ ทำให้ไปได้ไม่ไกล
5.เกิด small sideway และbreak out ตามมาด้วยเทรนด์ที่ต่อเนื่องมาจาก จุดที่ 3
6.มีทั้ง sideway - bo - และมี trend momentum เล็กๆ แต่ sideway นั้นน้อยเกินไปที่จะหัก trend line ที่ต่อเนื่องมาจากจุด 1
   จึงเกิดsidewayตามมาเพื่อกวาด supply(open long/close short position) และราคาก็วิ่งแบบไร้ระเบียบ แต่โดยรวมยังเป็น
   sideway step ตามมาด้วย sideway channel
7.เกิดการวิ่งแบบบีบตัวเป็นรูปสามเหลื่ยม และบีบตัวเข้าหากันเป็น sideway channel
8.เกิดเป็นรูปแบบซ้ำๆ sideway - break out - momentum

จะเห็นได้ว่า การเกิด trend นั้น มีองค์ประกอบ ที่ค่อนข้างชัดเจน ที่จะช่วยให้เราสังเกตุการเกิดเทรนด์ได้ง่ายขึ้นนั่นคือ
  - sideway
  - break out
  - momentum
หากขาดสิ่งเหล่านี้ เทรนด์ก็อาจจะไม่แข็งแรงพอ ช่วยให้เราระวังตัวในการเทรดได้มากขึ้น

ขอให้ปลอดภัยในการเทรดนะครับ คราวหน้ามาต่อและลงลึกในเรื่องเทรนด์กัน


ขอบคุณผู้เขียน .... thunya จากบอร์ด http://thailandinvestorclub.com




วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under : ,


MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่น ซึ่งพัฒนาโดย Mr.Gerald Appel ในช่วงปลายยุค ’70 ที่สหรัฐอเมริกา


MACD จะประกอบด้วยกราฟสองเส้น คือเส้น MACD และเส้น Signal ตามภาพ ซึ่งจะแสดงแรงเหวี่ยง (Momentum) ของราคาที่เปลี่ยนไปตามระยะเวลา


1. เส้น MACD (เส้นสีน้ำเงิน) จะเกิดจากค่า 12-day Exponential Moving Average (หรือเรียกว่า EMA) ลบด้วย 26-day EMA โดย EMA จะมีหลักการเหมือนกับการหา Weighted Moving Average ทั่วไป แต่จะคำนวณด้วยฟังก์ชั่นยกกำลัง (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง EMA ได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Moving_average#Exponential_moving_average)

2. เส้น Signal (เส้นสีแดง) คือค่า 9-day EMA ของเส้น MACD อีกต่อหนึ่ง เมื่อนำทั้งสองเส้นมาวิ่งทับกัน โดยให้เส้น Signal (สีแดง) เป็นเส้นยืน เมื่อใดที่เส้น MACD (สีน้ำเงิน) ตัดทะลุเส้น Signal (สีแดง) ลงมา ถือว่า MACD ส่งสัญญาณให้ขาย และหากเส้น MACD ตัดทะลุเส้น Signal ขึ้นไป ถือเป็นสัญญาณให้ซื้อ



และเมื่อเทียบกับระดับดัชนีจริง ก็พบว่าเมื่อ MACD ส่งสัญญาณขาย ดัชนีก็ “มักจะ” ปรับลดลง ในทางกลับกัน เมื่อส่งสัญญาณซื้อ ดัชนีก็ “มักจะ” ปรับเพิ่มขึ้น จนเป็นเหตุให้นักลงทุนใช้เป็นเครื่องช่วยตัดสินใจลงทุนได้อย่างสะดวก (ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน MACD อย่างละเอียดได้ที่นี่ http://stockcharts.com/school/doku.php?id=chart_school:technical_indicators:moving_average_conve)
.
อย่างไรก็ดี พบว่า MACD ไม่ได้ส่งสัญญาณที่มีคุณภาพ (ทำตามแล้วได้กำไร) เสมอไป ทำให้เกิดความสงสัยว่า หากเราลองทำตาม MACD ในระยะยาวแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร จึงเป็นที่มาของการทดสอบย้อนหลัง (Back Testing) กับข้อมูลในอดีตเพื่อดูความน่าเชื่อถือของมัน

ซึ่งพอจะสรุปผลได้ว่า

1. MACD จะให้สัญญาณถูกต้องประมาณ 45% (ผิดประมาณ 55%)

2. การทำตาม MACD จะให้กำไรสูงกว่าการซื้อแล้วถือ (Buy-and-Hold) อย่างมาก

3. หากเชื่อตาม MACD ตลอด 20 ปี ทั้งขาซื้อ และขา Short (สมมติว่าใช้ Futures เข้าช่วยด้วย) จะได้กำไรมากกว่าการเล่นฝั่งซื้ออย่างเดียว (ขายแล้วไม่ Short Futures ตามลงมา) ถึงประมาณ 2 เท่า (เพราะได้ทั้งขาขึ้นและขาลง)

4. การที่ MACD มีโอกาสผิดถึง 55% แต่ัยังเอาชนะการ Buy-and-Hold ได้อย่างถล่มทลาย เนื่องจากครั้งที่มันส่งสัญญาณผิด จะทำให้เราขาดทุนเฉลี่ยเพียง 21.35 จุด (กรณี SET Index) และคราวที่มันส่งสัญญาณถูก จะให้กำไรถึง 49.95 จุด เมื่อคำนวณหาค่าที่คาดหวัง (กำไร x โอกาส) พบว่า การเชื่อตาม MACD แต่ละครั้งจะให้กำไรโดยเฉลี่ย 10.53 จุด

5. การที่ MACD ส่งสัญญาณผิดแต่ยังขาดทุนไม่มาก ก็เพราะว่า MACD มักจะส่งสัญญาณผิดเวลาที่ตลาด Sideway ขึ้นลงไม่มาก


ในขั้นต่อไป ผมอยากจะลองทำ Back Testing กับหุ้นรายตัว ทั้งหุ้นใหญ่ กลาง เล็ก และหุ้นเก็งกำไร เพื่อให้เห็นเอกลักษณ์ของหุ้นแต่ละแบบ และในขั้นก้าวหน้ากว่านั้นผมก็จะลองทำ Back Testing กับ Technical Tool อื่นๆ เช่น DMI และ Stochastic เพื่อดูว่าเครื่องมือไหนจะสร้างผลกำไรได้มากที่สุดครับ (อาจจะดีกกว่า MACD ก็ได้)

บทความนี้ค่อนข้างยาวและมีเทคนิกหลายขั้นตอน ผมจึงพยายามอธิบายละเอียดสักหน่อย หวังว่าจะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นและสามารถนำ MACD ไปใช้การลงทุนจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ ทั้งนี้ ส่วนการกล่าวถึงการใช้ Futures เข้ามาประกอบในฝั่งขาย ก็เพื่อช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ของข้อมูลในกรณีดัชนีปรับลดลง ซึ่งตามปกติสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ใช้ Futures ก็จะเล่นขาขึ้นเ่ท่านั้น และจะถือเงินสดรอหลังจากขายไปแล้ว (หรือไม่ก็นำเงินไปลงทุนอย่างอื่นไปพลางๆ)
แต่เหนืออื่นใด… วัตถุประสงค์ของบทความนี้ ไม่ได้อยู่ที่การนำเสนอผลการคำนวณอย่างเข้มข้น แต่อยู่การชี้ให้เห็นความน่าสนใจของ MACD ในฐานะที่เป็น Technical Tool ทีใช้ได้ดี “ตัวหนึ่ง” ในอีกหลายๆ ตัว ส่วนการทำ Back Testing ก็เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ MACD ครับ 

ข้อมูลจาก .... http://fundmanagertalk.com



วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under : , ,

ปริมาณการซื้อขาย VOLUME (VOL)

VOLUME คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น โดยความสัมพันธ์ระหว่างราคากับปริมาณการซื้อขาย มีข้อสังเกตดังนี้ :

ความสัมพันธ์ในแง่บวก

1. เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน และปริมาณการซื้อขายปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นการสนับสนุนการขึ้นของราคา

2. เมื่อราคาที่พุ่งสูงขึ้น ต่อมามีการปรับตัวลง หากปริมาณการซื้อขายปรับตัวลดลงด้วย จะเป็นการแสดงถึงการลดลงชั่วคราวของราคา ก่อนที่จะมีการปรับตัวสูงขึ้นของราคาอีกครั้งหนึ่ง

3. การขายอย่างตื่นตระหนก (PANIC SELLING) เกิดขึ้นจากราคาที่มีการลดลงมาเป็นระยะเวลานาน และต่อมาราคาตกดิ่งลงในขณะที่ VOLUME กลับเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นช่วงวิกฤติการขาย (SELLING CLIMAX) ซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหรือหุ้น เพราะบ่อยครั้งที่วิกฤติการขาย (SELLING CLIMAX) จะเป็นจุดจบของ BEAR MARKET

ความสัมพันธ์ในแง่ลบ

1. เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน แต่ปริมาณการซื้อขายกลับลดลง จะเป็นการค้านการขึ้นของราคา

2. เมื่อราคาที่ลดลง ต่อมามีการปรับตัวขึ้น แต่หากปริมาณการซื้อขายลดลง จะเป็นการค้านการขึ้นราคาในขณะนั้น

3. เมื่อราคาวิ่งขึ้นกลับไปถึงจุดสูงเก่า แต่ VOLUME ไม่มากเท่ากับ VOLUME ของจุดสูงเก่า จะเป็นการค้านการขึ้นของราคา และอาจนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาในช่วงต่อไป

4. เมื่อราคากับ VOLUME ขึ้นไปด้วยกันช้า ๆ จนถึงระดับหนึ่งแล้ว ราคาวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วโดย VOLUME ได้สูงมากขึ้นผิดปกติ และถ้าหลังจากนั้นราคาเริ่มลดต่ำลง จะถือว่า ณ จุดนั้นเป็นการเปลี่ยนแนวโน้มจากขึ้นเป็นลง

5. ถ้าราคาสูงขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน และเมื่อมาถึงจุดที่ราคาขยับขึ้นเล็กน้อย แต่ VOLUME กลับยังคงสูงมาก จะเป็นสัญญาณเตือนว่ามีการขายระบายหุ้นออกในลักษณะของการโยนหุ้น (มีการซื้อขายกันระหว่างกลุ่มเพื่อไม่ให้ราคาตก) ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาในช่วงต่อไป

TICK VOLUME

TICK VOLUME เป็นเครื่องมือในการประมาณการซื้อขายของหุ้น หรือสัญญา (FUTURE CONTRACT) ในระหว่างวัน โดยการนับจำนวน TICK (การซื้อขายที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง)

TICK VOLUME ของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จะเป็นการนับจำนวนครั้งที่ราคาเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงจำนวนครั้งของการซื้อขายสัญญาในราคาหนึ่ง

TICK VOLUME ของการซื้อขายหุ้น จะหมายถึงจำนวน TICK (การซื้อขายที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
ดังนั้นหาก TICK VOLUME มีค่ามาก จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลานั้น ๆ มีปริมาณการซื้อขายมากด้วย

ข้อมูลจาก....http://www.kateep.com


Posted by Forex Trader | File under : ,




Bollinger bands


สัญญาณ Bollinger bands จัดเป็นเครื่อง envelope ชนิดหนึ่ง ที่ถูกพัฒนาโดย John Bollinger โดยที่สัญญาณ envelope เป็นการลากเส้นที่อยู่เหนือและล่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในรูปของเปอร์เซ็นต์ (Percentage) ขณะที่ Bollinger bands จะลากอยู่ในรูปของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
Bollinger band เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่แสดงถึงภาวะตลาด ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นสัญญาณเคลื่อนที่ของราคาที่เคลื่อนไปรอบๆเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยทั่วไปจะกำหนดช่วงเวลาของ Bollinger band เป็น 20 วัน สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Simple และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เท่ากับ 2 ไม่แนะนำให้ใช้ช่วงเวลาของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่น้อยกว่า 10 วัน เนื่องจากจะทำให้ค่าที่ได้ไม่ดีพอ ในบางครั้งอาจใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วัน แบบ Exponential มาใช้แทน โดยคงค่าเบี่ยงเบนมาตราไว้ที่ 2 การอ่านผลของ Bollinger bands มีลักษณะดังนี้

  1. ราคาจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ช่วงกว้างของแบนด์แคบลง
  2. เมื่อราคาทะลุผ่านออกนอกแบนด์ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มจะดำเนินต่อไป
  3. การที่ราคาวิ่งออกไปนอกแบนด์แล้วกลับเข้ามา จะเป็นสัญญาณถึงการกลับตัว
  4. สามารถนำการขึ้นลงของราคาหุ้นในช่องแบนด์ มาวิเคราะห์ราคาเป้าหมายได้

เส้นบนของ Bollinger bands เป็นเส้นที่แสดงถึงราคาได้ขึ้นมาสูงเกินราคาจริง (Over value) เป็นจุดขาย (Stop sell) ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาทะลุลงต่ำกว่าแบนด์เส้นล่าง จะเป็นสัญญาณว่าราคาต่ำกว่าราคาจริง (Under value) จะเป็นสัญญาณเข้าซื้อ (Stop buy)

การนำ Bollinger band มาใช้วิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้น (Trend Following Indicator) ราคาหุ้นจะเป็นตลาดขาขึ้น หรืออยู่ในช่องแนวโน้มขาขึ้น ราคาหุ้นจะวิ่งอยู่ในระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ กับแบนด์เส้นบน และราคาหุ้นเป็นขาลงเมื่อราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กับแบนด์เส้นล่าง

อย่างไรก็ดี หากต้องการนำ Bollinger bands มาวิเคราะห์อย่างหวังผล ควรนำรูปแบบของกราฟแท่งเทียนมาวิเคราะห์ร่วมด้วย ในกรณีที่ราคาหุ้นร้อนแรงเกินไป ราคาทะลุผ่านแบนด์เส้นบนขึ้นไป แล้วเกิดตามด้วยสัญญาณกลับตัวของกราฟแท่งเทียนในปลายตลาดขาขึ้น เช่น Shooting star จะเป็นสัญญาณเตือนถึงแนวโน้มการกลับตัวเป็นขาลงของราคาหุ้น อาจเกิดตามมา ใช้เป็นจุดขาย (Stop sell) และหากราคาหุ้นไม่สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ได้ จะเป็นการตอกย้ำว่าราคาได้เปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง ถือเป็นจุดขายตัดขาดทุน (Stop loss)

ในทางกลับกัน เมื่อราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่าแบนด์เส้นล่าง ซึ่งหมายถึงการขายมากเกิน หรือราคาต่ำกว่าราคาจริง เมื่อเกิดสัญญาณกลับตัวปลายตลาดขาลงของกราฟแท่งเทียน เช่น Morning star เป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดขาลงใกล้สิ้นสุด ใช้เป็นจุดซื้อ (Stop buy) และเมื่อราคาหุ้นดีดตัววิ่งทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขึ้นไปได้ พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นการตอกย้ำว่าราคาหุ้นได้เปลี่ยนเป็นขาขึ้น

เหตุการณ์ทั้งสองถ้าเกิดในช่วงที่แบนด์แกว่งตัวแคบๆ จะทำให้การปรับตัวขึ้น หรือปรับตัวลงรุนแรงตามมา



วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556


1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ
แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
-  การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
-  การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
-  การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
-  การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
-  การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management) การจัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม

แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ไกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด)  ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถหาได้จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ

2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
อย่าคิดสวนเทรน  ให้หาสัญญาณ  Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง ( Bearish Market ตลาดแดนลบ)

3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิงสำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

4. ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้าราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ   ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด  -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance

5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา (take Profit when the trade is good)
ก่อนทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย ( Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy  ก็ได้

6. ตัดอารมณ์ออกไป (Be Emotionless)
สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear)  อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position)  ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้

7. อย่าเทรดตามคนอื่น  ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด

8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อคุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก

9. เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด ( When in doubt, stay out)
เมื่อคุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่

10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่ควรเปิดเทรดมากเกินไป  ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป


ข้อมูลจาก ... http://successmega.com
Posted by Forex Trader | File under :


Forex News: ข่าวที่มีผลต่อตลาดเงิน จะเป็นข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงินของประเทศต่างๆ ข่าวของแต่ละประเทศ จะมีผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น ข่าวที่มีผลต่อค่าเงินมาก ตัวอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP

ถ้าข่าวเศรษฐกิจ ของประเทศ ออกมาดี เช่น การจ้างงานเพิ่มขึ้น, GDP เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ ค่าเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น ตัวเลขออกมาดี คนแย่งกันซื้อ ค่าเงินก็จะสูงขึ้น ตามหลัก อุปสงค์/อุปทาน ถ้าข่าวออกมาเศรษฐกิจ ไม่ดี คนย่อมไม่อยาก จะถือเงินนั้นไว้ พากันเทขายออกมา ค่าเงินจึงลดลง

เมื่อเรารู้ว่าข่าวทำให้ค่าเงินนั้นๆ ขึ้น จะมีผลต่อราคาคู่เงินที่เราเล่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าข่าวออกมา แล้วค่าเงิน USD (ดอลล่าร์สหรัฐฯ) แข็งขึ้น ดอลล่าร์สูงขึ้น คู่เงินที่มี USD นำหน้า ราคาจะวิ่งขึ้นไป เช่น (USD/JPY, USD/CHF, USD/CAD) และคู่เงินที่มี USD ข้างหลัง ราคาก็จะลดลง เพราะตัวหารเพิ่มขึ้น เช่น (EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD, NZD/USD) ถ้า USD อ่อนลง ก็กลับกัน

ข่าวที่สำคัญๆ จะมีต่อค่าเงินมาก ณ.เวลาที่ข่าวออก ราคาของคู่เงินอาจ ขึ้น/ลง มากกว่า 100 จุด ขึ้่นอยู่กับ ผลของข่าว ผู้ที่ต้องการเล่นข่าวห้ามพลาดเด็ดขาด ผู้ที่เล่นเทคนิค เล่นตามซิกแนล ควรหลีกเหลี่ยงช่วง ข่าวสำคัญ จึงควรศึกษาเกี่ยวกับข่าวให้ดี ถ้าเรามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน จะเป็นประโยชน์มาก ในการวิเคราะห์ข่าวต่างๆ

ขอแนะนำเว็บที่นิยมใช้ในการดูข่าว จะมีปฏิทินแสดงข่าวต่างๆ สามารถดูล่วงหน้า หรือย้อนหลังได้ ถ้ามีเวลาลองเปิดไปดู ข่าวเก่าๆ แล้วลองศึกษาเทียบกราฟราคา ดูผลของข่าวก็ดีครับ
คลิกที่นี่เข้าสู่เว็บ --> ForexFactory.com


ข้อมูลจาก .. .forex108tips.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :


1. การวิเคราะห์มูลฐาน

การวิเคราะห์มูลฐาน คือวิธีดูตลาดผ่านปัจจัยอิทธิพลทางเศรษฐกิจ, สังคม และการเมืองที่มีผลกระทบต่อ ปริมาณและความต้องการ อุปสงค์/อุปทาน กล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ คุณดูว่าเศรษฐกิจของใครกำลังไปได้ดี, และของใครกำลังแย่ แนวความคิดเบื้องหลังการวิเคราะห์ชนิดนี้ก็คือ เศรษฐกิจของใครก็ตามที่กำลังดี เงินตราของเขาก็ต้องดีด้วยเช่นกัน นี้เพราะว่า ยิ่งเศรษฐกิจของประเทศดี ประเทศอื่นๆยิ่งมีความเชื่อมั้นมากในเงินตรานั้น เป็นต้นว่า, ดอลลาร์แข็งขึ้นเพราะ เศรษฐกิจของอเมริกากำลังแข็งแรง ถ้าอัตราดอกเบี้ยของอเมริกาสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่าของเงินดอลล่าก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน และนี้เองคือสิ่งที่เราเรียกว่าการวิเคราะห์มูลฐาน ในหลักสูตร ภายหลัง เราจะได้เรียนว่าเหตุการณ์ข่าวประเภทไหนกัน ที่ผลักดันค่าเงินตราได้มากที่สุด ตอนนี้ให้รู้แค่ว่าการวิเคราะห์มูลฐานของ forex คือ วิธีวิเคราะห์เงินตราผ่านความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น

2. การวิเคราะห์เชิงเทคนิค

การ วิเคราะห์เชิงเทคนิค คือ การศึกษาของการเคลื่อนไหวของราคา พูดให้สั้น คือ วิเคราะห์ทางเทคนิค = วิเคราะห์กราฟ (chart) แนวความคิดนี้ ก็คือเราสามารถดูประวัติการเคลื่อนไหวของราคา และอาศัยการขยับตัวของราคา ตัดสินคาดได้ในระดับหนึ่งว่าราคาจะไปที่จุดไหน โดยดูที่กราฟ คุณสามารถระบุแนวโน้ม และรูปแบบ ที่สามารถช่วยให้เห็นโอกาสดีในการชื้อขาย สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณจะได้เรียนรู้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ แนวโน้ม! คนจำนวนมากมีคำพูดอยู่ว่า แนวโน้ม คือ เพื่อนของคุณ . เหตุผลคือ คุณอาจทำเงินได้มากกว่า เมื่อคุณสามารถค้นพบ แนวโน้ม แล้วซื้อขายในทิศทางเดียวกัน การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถช่วยคุณระบุแนวโน้มเหล่านี้ในขั้นต้นๆ ของมัน และเพราะฉะนั้น(ผมเพิ่งพูดว่าเพราะฉะนั้นใช่ไหม )จึงช่วยให้ คุณได้โอกาสซื้อขายทำกำไรมาก


ข้อมูลจาก....http://www.weloveforex.com


วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :

เทรดเดอร์ผู้ไม่ยอมแพ้

Joe Chalhoub เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ในบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนจะหันมาเป็น forex trader เขาเริ่มเทรดค่าเงินเมื่อหลายปีก่อน โดยในช่วงสามเดือนแรก การเทรดของเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เขาเล่าให้ฟังว่า "ผมยังจำได้ตอนที่ผมเสียเงินทั้งหมดของผมไป ตอนนั้นผมคิดว่าผมอยากจะเลิกเทรด แต่ว่าผมก็เลิกไม่ได้ ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเลิกตอนนั้น มันอาจจะหมายถึงผมได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตไปก็ได้ ตอนนั้นผมเลยเพียงแค่หยุดเทรดชั่วคราวไปก่อน...

หลังจากนั้นเขาได้เริ่มที่จะสังเกต ศึกษาวิเคราะห์ และฝึกฝนอย่างหนัก "ผมเริ่มที่จะสังเกตุเฝ้าดูตลาดว่าอะไรทำให้มันเคลื่อนไหวบ้าง" เขาเริ่มศึกษาการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคว่าแต่ละตัว มันสามารถทำนายตลาดได้อย่างไร และเขาจะใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้อย่างไร เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงเทคนิคที่นักเทรดที่มีประสบความสำเร็จใช้กันเป็นอย่างไรอย่าง หนัก...

 "ผมเปิดบัญชีเดโมขึ้นมาและเทรดค่าเงินจำลองในเทคนิคต่างๆ โดยติดตามดูผลงานของมันอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ศึกษามา 1 ปี หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นานนับปี กับความล้มเหลวในการเทรดที่นับครั้งไม่ถ้วน ผมก็ได้เข้าใจถึงวิถีแห่งกลยุทธ์ของผมเองและเริ่มที่จะทำกำไรได้ในแต่ละเดือน"

คำแนะนำสำหรับมือใหม่จาก Joe Chalhoub
ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มีเทรดเดอร์เพียงแค่ 5% เท่านั้นที่ประสบความสาเร็จ แล้วสิ่่งที่แตกต่างของกลุ่มคน 5% นี้คืออะไร??? สิ่งสาคัญอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาทุ่มเทอย่างหนัก!!! การเทรดฟอร์เร็กซ์ไม่ได้เป็นงานง่าย และ ใครก็ตามที่บอกคุณว่าสามารถทำให้คุณรวยได้ภายในคืนเดียว อย่าเชื่อเขาเด็ดขาด!!!!

นอกจากนี้คุณต้องจำไว้ว่า "อย่ารีบเทรด" ตลาดฟอร์เร็กซ์ไม่ได้หนีไปไหน มันจะอยู่ตลอดไป และอย่างน้อยคุณควรให้เวลาตัวเองศึกษา 6 – 12 เดือนในการวิเคราะห์ อ่าน ฝึกฝน และสร้างกลยุทธ์การเทรดของคุณเองก่อนที่จะเริ่มเทรดเงินจริงๆ มันจะต้องใช้การอุทิศเวลาอย่างมหาศาล แต่ว่าในท้ายที่สุดมันจะทาให้คุณไปถึงเป้าหมาย สำหรับเรื่องกลยุทธ์และวิธีการเทรดผมจะไม่เปิดเผยกลยุทธ์ของผมทั้งหมด แต่ผมจะแนะนำอะไรบางอย่างให้คุณ ซึ่งผมเชื่อว่ามันน่าจะช่วยให้การเทรดของคุณดีขึ้น

1 วินัย : คุณต้องมีกฏในการเทรด และต้องเทรดเมื่อมันตรงตามเงื่อนไขของคุณ และถ้ามันไม่เข้าเงื่อนไข ก็อย่าเทรด ผมว่ามันเป็นเรื่องยากในการที่จะห้ามใจ เพราะหลายคนที่ก้าวเข้าตรงนี้ มักจะเสพติดมัน แต่เชื่อเหอะมันจำเป็นถ้าคุณอยากจะอยู่ในตลาดนี้ให้ได้

2 การบริหารกำไรและขาดทุนในแต่ละการเทรด : คุณต้องมี stop loss และจำไว้ว่าเมื่อได้กำไรแล้วอย่ากลับมาขาดทุน
มันเป็นหัวใจหลักของการเทรดที่ดี ผมจะปิดทุกออร์เดอร์ ถ้าวันนั้นผมติดลบ 60 จุด หรืออีกแง่หนึ่ง ผมจะ ตั้ง trailing stop สำหรับออร์เดอร์ที่มีกำไรแล้ว 25 PIP ซึ่งหมายความว่ากำไรของผมจะไม่ต่ำกว่า 25 จุด และผมสามารถไปทำอะไรที่ไหนก็ได้ ผมว่ามันบ้าสิ้นดี ถ้าผมได้กำไรแล้ว ผมกลับคืนเงินให้กับตลาดไปตอนสิ้นวัน มันเหมือนคุณทำงานประจำได้เงินวันละ 1000 บาท พอเลิกงานคุณเดินเอาเงิน 1000 ไปคืนให้เจ้านาย คุณว่ามันบ้าไหมล่ะ ....

3 อย่าพึ่งเทรดตอนนี้ : สิ่งสาคัญที่สุดในการเทรด บางครั้งคือการไม่เทรด
ผมจะตัดสินใจอย่างนี้นะครับ ถ้าผมดูกราฟแล้วไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหว หรือว่าไม่มีข่าวออกในวันนี้เลย ในกรณีนี้มันจะดีกว่ามาก ถ้าเราจะรอให้ตลาดมันมีความผันผวน ผมอยากจะแนะนานักเทรดทั้งหลายว่า ไม่ควรจะเทรดในช่วงวันแรกของเดือน ผมจะเริ่มเทรดตอนวันศุกร์แรกของเดือนเมื่อข่าว "NonFarm payroll" ออกมาแล้วเท่านั้น

4 การวิเคราะห์: ผมใช้ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคในการเทรด
พื้นฐานจะบอกเทรนหรือแนวโน้มของตลาด และการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะใช้หลังจากที่เราสามารถระบุเทรนได้แล้ว การวิเคราะห์พื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นต้องใช้ด้วยกัน และ ถ้าใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วมันอาจจะนำไปสู่ความเสียหายได้

5 เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค 
ในตลาดฟอร์เร็กซ์มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคมากมาย ซึ่งหลาย ๆคนใช้ ส่วนตัวผมใช้ ADX และ Bollinger Bands ในการวิเคราะห์เทรนและการแกว่งตัว และก็ใช้ RSI ในการวิเคราะห์จุด over bought หรือ oversold ใช้เส้น Moving Average ในการบอกสัญญาณ และ สำคัญที่สุดคือ FIBONACCI ผมแนะนำให้เทรดเดอร์ประยุกต์ใช้เทคนิคเหล่านี้ในการยืนยันสัญญาณการเทรด โดยเทรดไปในทางเดียวกับพื้นฐานที่เราวิเคราะห์ไว้

สุดท้าย สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ การเทรดฟอร์เร็กซ์ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายๆครั้งที่เราเสียเงิน เราจะรู้สึกว่าเราโดนโกง หรือมีใครบางคนกาลังหลอกลวงเพื่อเอาเงินจากกระเป๋าเราอยู่ แต่ความจริงแล้วที่เราเสียเงินนั้นมันเป็นเพราะตัวเราเอง จำไว้ว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนไม่ได้ฉลาดกว่าเรา พวกเขาไม่ใช่อัจฉริยะมาจากนอกโลก แต่ความจริง ก็คือ ยิ่งคุณทุ่มเทมากเท่าไหร่ คุณยิ่งเข้าใกล้การเป็นเทรดเดอร์ที่ดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่ารีบ เพราะว่างานนี้ ต้องการการอุทิศตนและการทุ่มเทอย่างหนัก!!!

เครดิต : http://www.rpchost.com

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :

Moving Average แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย


 Moving Average  แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย


แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average
         นับเป็นเครื่องมือสำคัญ เครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น รวมถึงจุดที่เปลี่ยนแนวโน้ม เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย รวมถึงแนวรับแนวต้าน ของราคาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ
ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของหุ้นตัวนั้น ว่าการกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด
โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่

  5   วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

ซึ่งจำนวนวันเหล่านี้จะเป็นตัวบอกถึงราคาต้นทุนเฉลี่ยของคนที่ถือหุ้นมาแล้วในช่วงระยะเวลา แตกต่างกันเช่น
ปัจจุบันราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่า มีคนที่ถือหุ้นในช่วง 25วันที่ผ่านมา หรือนักลงทุนระยะกลางที่ยอมถือหุ้นนานกว่า 1 เดือน มีต้นทุนต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน  ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ ยังมองว่าหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นตราบที่ราคาหุ้นยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน

ดังนั้นการหาสัญญาณ ซื้อหรือขายหุ้นจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


สัญญาณซื้อ คือ
  • เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
  • เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
     เรียกว่า (Golden cross)
สัญญาณขายคือ
  • เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามฤฤฉช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
  • เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
    เรียกว่า (Dead cross)

       ดังในภาพจะเห็นว่า ดัชนี SET index ปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย  5 วัน (สีเขียว) 10วัน(สีแดง) และ 25วันสีฟ้า นับแต่ต้นเดือนเมษายน หรือ (4/2 จากตารางกราฟ) ซึ่งจะเห็นว่าเกิดแรงขายจากนักลงทุนระยะสั้น บางครั้งเมื่อหุ้นต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 5วัน แต่เมื่อราคาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 10วัน หุ้นจะสามารถเด้ง กลับได้หาก นักลงทุนระยะ 10วันยังมองว่า หุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อถึงระดับดังกล่าว จะมีแรงซื้อ ซ้ำเพราะราคาหุ้นยังถูกอยู่กว่าราคาในอนาคต    ส่วน นักลงทุนระยะกลาง เช่น 25วัน จะยังคงถือหุ้น ตราบที่ SET index ไม่หลุด 730 จุด ดังที่เห็นในกราฟเป็นต้น

   ซึ่งตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าบางครั้ง การซื้อขายระยะสั้น ตามสัญญาณ 5 วัน และ 10วันอาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการถือระยะยาวเป็นรอบ จากการดูเส้นค่าเฉลี่ยที่ยาวขึ้น แต่อย่างไร เส้นค่าเฉลี่ย ไม่มีกำหนดตายตัวว่า ค่าไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับนิสัยหุ้นตัว นั้น สภาวะตลาดโดยรวม

    ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการถือครองหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวเลือกด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยจาก จำนวนวันที่ต่างๆกัน แต่ ความแม่นยำ นั้นอาจขึ้นจากนิสัยของหุ้นตัวนั้น หรือ ผู้ที่ลงทุนในหุ้นตัวนั้นส่วนมาก เขาใช้เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร และแบบใด
    ส่วนจุดอ่อนของการใช้เส้นค่าเฉลี่ย อาจเกิดขึ้นได้ หากหุ้นในช่วงนั้น เป็นลักษณะ Side way หรือแกว่งตัวในกรอบนานๆ อาจจะทำให้เส้นพันไป มา จึงเกิดทั้งสัญญาณหลอก ให้ ซื้อขาย ได้บ่อย  ก็ได้ ดังนั้น เส้นค่าเฉลี่ยนั้นจะเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในช่วงตลาดที่ มี Trend หรือแนวโน้ม

 ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ย
ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ย มีด้วยกันหลายแบบ ซึ่ง ผู้ลงทุนอาจจะใช้ราคา เปิด หรือ ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด หรือ ราคาเฉลี่ย มาเป็นตัวกำหนด สำหรับ การหาค่าเฉลี่ยก็ได้ ซึ่ง ส่วนใหญ่ที่ เราใช้อยู่ทั่วไป จะนำราคาปิดของหุ้นในแต่แท่งเทียน มาเป็นข้อมูลสำหรับการคำนวนค่าเฉลี่ย ดังเช่น

การหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบธรรมดา (SMA, Simple Moving Average)
เส้นค่าเฉลี่ยแบบธรรมดา มาจากการหาค่าเฉลี่ยราคาหุ้น ในช่วงเวลาที่กำหนด เป็น N วัน
SMA คำนวณมาจาก
SMAt = 1/N(Pt+..........+Pt-N+1)
โดย P = ราคา
       T = วัน t
       N = จำนวนวันในค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 

ส่วนการหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบ EMA (Exponential Moving Average)
   นั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น
 ซึ่งวิธีนี้เป็นการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา

หลักการคำนวนคือ
 ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT  โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ
 EMA   =   EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
 เมื่อ EMAt  คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
 EMAt-1   คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
 SF  คือ  ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
 Pt  คือ  ราคาปัจจุบัน
 n คือ  จำนวนวัน

*  หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA
    ซึ่งทั้ง EMA และ SMA นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็จะเลือกใช้แบบใด แบบหนึ่ง จากทั้งสองแบบนี้ เพียงแต่ อาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการวิเคราะห์

  • โดยการวิเคราะห์ แบบ SMA นั้นจะเห็นได้การเคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย มักจะช้ากว่า EMA ซึ่งการหาสัญญาณ ซื้อขายจากการตัดของเส้น EMA จะแม่นยำกว่า
  • ส่วนการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ยนั้น SMA จะดีกว่า เนื่องจากเป็นการคำนวน ฐานต้นทุนของนักลงทุนที่แท้จริง จึงทำให้บ่อยครั้ง เป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
  • ส่วนหุ้นบางตัวนั้น อาจจะวิเคราะห์ด้วย EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA นั้นขึ้นอยู่กับ ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่ของตัวนั้น จะใช้ เส้นอะไร ดู เพราะจากมุมมองที่เหมือนกัน จึง ทำให้เกิดสัญญาณ ที่เหมือนกัน จนเป็น ความแม่นยำที่เกิดขึ้นก็เป็นได้


 



ขอบคุณที่มาของข้อมูล   = = =>  http://www.investorchart.com...

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :

อันที่จริงแล้วเทรดเดอร์มีอยู่ 5 level ดังนี้

Trader level 1
หลังจากที่คุณได้กรอกฟอร์มสมัครเป็นเทรดเดอร์ผ่านเวปไซค์แล้วคุณก็ได้ขึ้นชื่อ ว่าเป็นเทรดเดอร์ สาเหตุที่คุณได้เข้ามาเป็นเทรดเดอร์ก็เพราะว่าคุณได้อ่านผ่านเวปไซค์ต่างๆ หรือจากการแนะนำของเพื่อนสนิทของคุณ ซึ่งข่าวเล่าขานกันว่านักเทรดสามารถทำรายได้ไม่น้อยกว่าเงินเดือนของ ผู้จัดการ บริษัทหรือบางคนพูดกันว่ารายได้ของนักเทรดอาจจะมากกว่ารายของบริษัท บางบริษัทก็มี (เมื่อได้ยินแล้วก็ตาโต) คุณเลยคิดว่าคุณสามารถทำกำไรได้เช่นกัน เมื่อเข้าสู่ตลาดวันแรกคุณอาจจะทำกำไรได้ถึง 100 pips-200 pips ผมคิดว่าเป็นเพราะคุณโชคดีมากกว่า เพราะคุณยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจกับกราฟและเทรดตามใจชอบ

สุดท้ายตลาดเอาชนะคุณจนได้ เชื่อเหอะไม่มีความโชคดีดวงดีของใครเอาชนะตลาดฟอเร็กซ์ได้หรอก ขาดทุนกับขาดทุน margin ในพอร์ทของคุณก็ลดลงเรื่อยๆ แต่คุณยังเชื่อว่าคุณจะเอาชนะตลาดให้ได้
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็ล้างพอร์ทไปแล้ว

90% ของนักเทรดที่ฝันร้ายยังอยู่ใน level นี้ ไม่ยอมเชื่อฟังใครแต่หากขาดทุนขึ้นมาจะโยนความผิดให้คนอื่นทั้งๆที่รู้อยู่ แก่ใจว่าตัวเองยังขาดประสบการณ์อยู่ ส่วนใหญ่จะเก็บกำไรน้อยๆ ยอมขาดทุนเยอะ

ขึ้นอยู่กับกาลเวลาเท่านั้น คุณจะอยู่ level นี้อีกนานเท่าไหร่ ?

90%ของนักเทรดยังอยู่ level นี้อีกต่อไป แค่ 10% ของนักเทรดเท่านั้นที่ข้ามขึ้นไป level ที่2 ได้

Trader level 2
ถึงตรงนี้แล้วคุณเริ่มเข้าใจแล้วว่าคุณไม่สามารถเทรดได้หากยังนั่งหมกหมุ่นอยู่ คนเดียวเลยเริ่มคิดค้นหาเครื่องมือเพื่อช่วยในการเทรด
ใน level นี้คุณจะทดลอง indicator ต่างๆ มากมายเพื่อช่วยนำทางในเวลาเทรดพร้อมหาข่าวสารจากเวปไซค์ต่างๆ มาวิเคราะห์
เมื่อ เริ่มวิเคราะห์ตลาดได้แล้วคุณเริ่มมองจุดสูงต่ำของตลาดจากกราฟและเริ่ม หา chat room เพื่อพูดคุยและถามอะไรไหม่ๆ ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน บางครั้งเป็นคำถามที่ไม่ควรถามแต่หากคุณไม่ถามก็จะไม่มีวันรู้ หลังจากใช้เวลานานพอสมควรอยู่ใน level นี้ คุณจะเก็บแค่ 3-5 indicator เพื่อเดินไปสู่ level ที่ 3
จาก10%ของเทรดเดอร์ที่ขึ้นมาจาก level 1 จะมีแค่ 7% เท่านั้นที่สามารถขยับตัวเองไปสู่level 3 ได้

Trader level 3
ในช่วงสุดท้ายของ level 2 คุณเริ่มเข้าใจแล้วว่าอันที่จริงแล้วการเป็นนักเทรดนั้นต้องคำนึงถึงหลาย ประการเลยที่เดียว เช่น money management, วินัย,ความรู้,ประสบการณ์ เป็นต้น
ลดการเทรดแบบใช้อารมณ์ทุกครั้งที่เข้าสู่ตลาดคุณจะมีการวาง stop loss/take profit
ในแต่ละวัน ไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ทำกำไรได้ถึง 100% หรอก

เมื่อคุณเข้าใจถึงวินัยของเทรดเดอร์แล้วคุณจะเปิดการซื้อ/ขายแค่ 5%ของทุนและยอม ขาดทุนแค่2% ของทุนที่ลงไป คุณจะทำอย่างนี้อยู่ตลอดโดยใช้เวลาประมาณ 1 ปี จาก 7% ของเทรดเดอร์ที่ขึ้นมาจาก level 3 จะมีแค่ 5% เท่านั้นที่สามารถขยับตัวเองไปสู่level 4 ได้

Trader level 4
Ok ตอนนี้คุณจะเทรดเมื่อเจอ entry ที่คุณต้องการเท่านั้น
คุณ จะเทรดด้วยความมั่นใจถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีการ cut loss ทิ้งบ้าง แต่ในเมื่อคุณคำนึงถึงวินัยของเทรดเดอร์อยู่ตลอดเวลา คุณจะตั้งเป้า แค่ 30-45 pips ต่อวันและจะทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 6 เดือน จาก 5% ของเทรดเดอร์ที่ขึ้นมาจาก level 4 จะมีแค่ 3% เท่านั้นที่สามารถขยับตัวเองไปสู่ level 5 ได้

Trader level 5
นั่นแน่ คุณได้เดินมาถึง level 5 จนได้ จุดนี้คือจุดยืนที่เทรดเดอร์ทั้งหลายรอคอย ที่พูดอะไรออกมาก็มีแต่คนอยากฟัง มีแต่คนคอยติดตามคุณอยู่ตลอดเวลา และคุณจะเป็นดาวเด่นใน chat roomของเวปต่างๆ หมดปัญหาเรื่อง การเงินและมีเวลาให้กับครอบครัว จะทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ หรือจะไปนั่งเทรดที่ โรงแรม ระดับ 5 ดาวก็ได้ไม่มีใครว่าอะไรคุณ

Freedom คุณคือนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ

ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่หูหนวกตาบอดที่เข้ามาเป็นนักลงทุนในตลาด forex อย่างแน่นอน

โดย. ป๋าศักดิ์ Fx_king

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :

กฎ 10 ข้อในการอยู่รอด



กฏทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป้นรุปแบบได้ ซึ่งให้กฏเหล่านี้ จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม หาจุดกลับตัว ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย ( moving average) มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หาคุณสามารถเข้าใจและปฏิตามหลักการเหล่านี้ เชื่อว่าคุณก็จะสามารถเอาตัวรอดด้วยการลงทุนแบบวิเคราะหฺทางเทคนิคได้แน่นอน

1. ดูแนวโน้ม ( Trend ) 
เรียน รู้ Chart กราฟ ในระยะยาว โดยเริ่มจาก กราฟ ในระดับเดือน Monthly และ สัปดาห์ ( weekly) ของช่วงเวลา ( Time Frame) หลายๆปี การดูกราฟช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะสามารถทำให้มองเห็นแนวโน้มของตลาดในระยะยาว ได้อย่างแม่นตรงกว่าการมองกราฟในระยะสั้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว ก็ต้องกลับดูกราฟระยะสั้น ระดับวัน Daily ระดับ ชั่วโมง Hourly การดูแนวโน้มในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เิืกิดข้อผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้นคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศ ทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและระยะยาว ( Middle Term and Long Term )

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม ( Analysis and follow trend)
แนวโน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว(Long Term) ระะกลาง(Middle Term) และระยะสั้น(Short Term) สิ่งแรก คือ คุณต้องรู้ว่าคุณลงทุนเป็นระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ กราฟของช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยที่คุณไม่แน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขั้น ( Up trend) และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง ( Down Trend) หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้กราฟในระดับวันและัสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนในระยะสั้น ให้ใช้กราฟระดับวันและชัวโมง อย่างไรก็ตามในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้กราฟของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3.การหาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อBuy/Long ก็คือจุด ที่ไกล้แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายSell/Short ก็คือ จุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสงสุดของกรอบราคาการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนที่แนวต้าน แนวต้านก็กลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลงอีกนัยนึง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่และเ่ช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4.รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหน จึงจะกลับตัว
เทียบอัตราส่วนการขึ้นลงเป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะ มีการกลีบตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนของแนวโน้ม ของช่วงเวลาก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นลงของแนวโน้มปัจจุบันโดยใช้ อัตรส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขั้นหรือลง 50%ของแนวโฯ้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อนหน้านั้น และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนใจคือ อัตราส่วนของFibonacci 38.2% 61.8 % ดังนั้นเมื่อตลาดมีการพัดตัวในแนวโน้มขาขึ้นจะมีจุดซื้อคืนจุดแรก เมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5.ใช้เส้นแนวโน้ม TrendLine 
เส้นแนวโน้ม TL เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่ต้องคำนึงมีเพียงของเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนกราฟ เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด / 06f ที่อยู่ไกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดที่อยู่ไกล้กัน ราคามักจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนที่กลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หาราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลีี่ยนแปลงแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนที่แตะที่เส้น สาม ครั้ง เป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้มและยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความ สำคัญมากขึ้น

6.ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average)
หมายถึงการ เคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย( Moving Average) ซึ่งจะบอกถึงราาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เ้ส้นค่าเฉลี่ยนี้จะแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใด และช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตามเส้่นค้่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำ ลังจะเปลียน รุปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น เพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กัน คือ period 5 , 10 , 20 , 34, 50 , 89 , 100 , 200 โดยทั่วไปแล้วจะจับคู่กันระหว่างเส้นแนวโน้มระยะสั้น และระยาว เส้นแนวโน้มระยะสั้นจะมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 และ เส้นแนวโน้มระยะยาวจะมากกว่า Period 50 สัญญาณการชื้อ ขาย เกิดขึ้นเมื่อ แนวโน้มระยะสั้นตัดกับแนวโน้มระยะยาว เช่น เส้นแนวโน้ม Period 5 ตัดกับ 50 เมื่อตัดกันแล้ว คุณก็ ซื้อ ด้วยเหตนี้ เส้นแนวโน้มค่าเฉลี่ยจึงเหมาะกับตลาดที่อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หรือตลาด มีเทรน

7. รุ้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators เป็นเครื่องมือที่ช่วงของขอบเขตอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เป็น เครื่องมือที่วัดการแกว่งของตลาด เหมาะ สำหรับตลาด ที่มีเทรนไม่แน่นอน เป็นดัชนีที่ช่วยบ่งชี้จุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะีี่ที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดจุดกลับตัว Oscillator ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastic ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillator เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน70 จะแดงว่ามีการซื้อที่มีมากเกินไป ( Overbought)และต่ำกว่า 30 แสดงว่ามีการขายมากเกินไป ( Oversold) ค่า OB และ OS สำหรับ Stochastic คือ80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 และ 9 สำหรับRSI และ Stochastic ใช้ค่า( 8 3 3 ) ( 14 3 3 ) ( 17 4 8 ) และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความพึ่งพอใจของแต่ละบุคคล สัญญาณการกลับตัวที่เกิดขึ้นใน Oscillator จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเล่นเกร็ง กำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณในระดับวัน สำหรับยืนยันสัญญาณในรายชั่วโมง

8.มองเห็นสัญญาณเตือน 
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด(พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ oscillator ไว้ด้วยกัน สัญญาณที่จะซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่าา โดยทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า 0 Zero line สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าเหนือ 0 Zero Line สัญญาณในระดับสัปดาห์ จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD Histogram ซึ่งมาลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่างMACD สองเ้ส้น สามารถส่งสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Direction Index( ADX) เป็นดัชนี ที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่และเป็นตัวช่ยวัดว่าแนวโน้ม อยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขึ้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก คงรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเกร็งกำไรระยะสั้นควรใช้ Oscillator ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกใข้เครื่องมือที่เหมาะ สมกับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยนยันแนวโน้ม
สัญญาณที่ให้ การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจากผู้ที่ เข้ามาซื้อขายใหม่(Open Interest) ทั้ง สอง ตัวนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่างหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขาย อย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจบัน ในแนวโน้มขาขั้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน Open Interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก Open Interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนัั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้น ราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรมีปริมาณซื้อและ Open Interest หนุนอยู่ด้วย

โดย thaiforexschool.com 
Posted by Forex Trader | File under :






คำว่า Pip คืออะไร


โดยทั่วไป การเพิ่มขึ้นของค่าเงินนั้นจะบอกเป็น Pip ถ้า EUR/USD เคลื่อนที่จาก 1.2250 ไปที่ 1.2251 นี่คือเคลื่อนที่ไป 1 pip  PIP คือ จุดทศนิยมตัวสุดท้ายซึ่งถูกอ้างอิงจากราคาปัจจุบันของตลาด กำหนดให้มีสี่ตำแหน่งที่ใช้กัน ในบางโบรกเกอร์อาจจะมีถึงห้าตำแหน่ง  PIP เป็นสิ่งที่บอกให้คุณรู้ว่า คุณได้กำไรหรือขาดทุน


โดยแต่ละค่าเงินก็มีค่างของตัวมันเอง มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องคำนวนค่าของ pip สำหรับค่าเงินนั้นๆ ค่าเงินที่ USD ขึ้นก่อน สามารถคำนวณได้ดังนี้

เช่น USD/JPY อยู่ที่ ราคา 119.80(โดยส่วนมากจะมีทศนิยมสองตำแหน่ง ) ในกรณีนี้ 1 pip เท่ากับ 0.01 

ดังนั้น
USD/JPY
119.80
0.01 หารด้วย อัตราแลกเปลี่ยน = pip value
0.01/119.80 = 0.0000834
ดูเหมือนกับกว่ามีตัวเลขที่เยอะมากแต่เราจะอธิบายตัวเลขนี้ในภายหลัง

USD/CHF

1.5250
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
0.0001/1.5250 = 0,0000655

USD/CAD

1.4890
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
0.0001/1.48990 = 0.00006715

และในกรณีที่ US ดอลล่าร์ ไมได้อยู่เป็นตัวแรก และเราต้องการที่จะได้รับเป็นค่าของดอลล่า เราทำได้ดังนี้

EUR/USD
1.2200
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pips value
ดังนั้น
0.0001/1.2200 = EUR 0.00008196
แต่พวกเราต้องการทำให้เป็นหน่วย US ดอลล่าร์ เราจึงต้องคำนวนใหม่เป็น
EUR คูณ อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้นจะเท่ากับ
0.00008196 * 1.2200= 0.00009999
เราปัดทศนิยมให้เป็นสี่ตำแหน่งจะได้เป็น 0.0001

GBP/USD

1.7975
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
ดังนั้น
0.0001/1.7975 =GBP 0.0000556
แต่เราต้องการทำให้เป็นหน่วยของ US ดอลล่าร์ ซึ่งคำนวนได้ดังนี้
GBP*อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้นจะได้เท่ากับ
0.0000556*1.7975=0.0000998
เราปัดเป็นทศนิยมสี่ตำแหน่งเป็น 0.0001

สำหรับค่าเหล่านี้ คุณไม่ต้องคำนวนอะไร เราอยากให้ทราบถึงที่มา ว่ามันมาอย่างไร ทั้งหมดนี้ โบรกเกอร์จัดการให้คุณแบบอัตโนมัติ  มันเป็นสิ่งที่ดีที่คุณควรจะรู้ว่ามันทำงานอย่างไร





Lots คืออะไร


ในตลาด Forex เทรดเป็นจำนวน Lots ,   ขนาดมาตรฐานสำหรับ Lot คือ 100000 units และมี Mini lot size ที่ 10000 units เมื่อคุณรู้แล้วว่า ค่าเงินนั้นวัดค่าเป็น pips ซึ่งเป็นการเพิ่มทีละน้อยของค่าเงินนั้น ซึ่งข้อดีของการเพิ่มทีละน้อย มันทำให้คุณสามารถเทรดได้จำนวนมากๆในแต่ละค่าเงินที่คุณเลือก และสามารถคำนวณกำไร ขาดทุนได้

สมมติว่าเราใช้ 100000 units (Standard size) เราจะคำนวนใหม่ให้เห็นค่าของ pip value

USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยน 119.80
(.01 / 119.80) x 100,000 = $8.34 per pip)

USD/CHF at an exchange rate of 1.4555

(.0001 / 1.4555) x 100,000 = $6.87 per pip)

EUR/USD at an exchange rate of 1.1930

(.0001 / 1.1930) X 100,000 = 8.38 x 1.1930 = $9.99734 rounded up will be $10 per pip)

GBP/USD at an exchange rate or 1.8040

(.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 rounded up will be $10 per pip.)

ซึ่งโบรกเกอร์ของคุณอาจจะมีข้อตกลงที่แตกต่างกันในการคำนวน pip value สัมพันธ์กับ Lot size แต่ไม่ว่าสิ่งไหนก็ตามหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาจะต้องแจ้งให้คุณทราบ pips value ของการเทรดของคุณที่เวลานั้นๆ เป็นเท่าไร ขณะที่ตลาดมีการเคลื่อนตัว  pip value จะขึ้นอยู่กับค่าเงินอะไร ที่คุณเทรดอยู่ ณ ปัจจุบัน


คุณสามารถคำนวนกำไรและขาดทุนได้อย่างไร

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าจะสามารถคำนวน Pip value ได้อย่างไร ต่อไปนี้มาดูวิธีการคำนวนกำไรและขาดทุนของคุณ

Buy USD และ Sell Swiss francs

ที่อัตราที่แสดงราคาคือ 1.4525/1.4530  เพราะว่าคุณได้  Buy US คุณจะได้ราคา 1.4530
ไม่กี่นาทีผ่านไป ราคาเคลื่อนที่ไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออเดอร์ของคุณ
 ราคาที่แสดงใหม่ของ USD/CHF คือ  1.4550/1.4555
ผลต่างระหว่าง 1.4530 ถึง 1.4550 คือ 20 pips
ใช้สูตรก่อนหน้านี้ในการคำนวนจะได้
(.0001/1.4550) x 100,000 = $6.87 per pip x 20 pips = $137.40

จำไว้ว่า เมื่อคุณจะเข้าเทรด หรือออกจากการเทรด ให้คุณดูเสปรดในราคา  bid/offer(ask)


ข้อมูลจาก ... thaiforexschool

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :


Leverage คืออะไร ?

Lever แปลว่า คาน Leverage แปลตรงตัว = กำลังคาน

สำหรับ ใน Forex ค่า Leverage เป็นตัวช่วยเวลาเราลงทุนครับ เป็นการให้ Margin เราเพิ่มตอนเทรด ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะเทรด 100 หน่วยของ USD/JPY เราต้องใช้เงินถึง $100 ดอลลาร์ (Leverage 1:1) ถ้าโบรกเกอร์ให้ Leverage เรา 1:100 ก็คือ เราใช้เงินลงทุนเพียง $100/100=$1 หรือใช้เงินเพียง 1 ดอลลาร์เท่านั้น

แล้วมีผลยังไง? 1:100 เราลงทุน 1$ เหมือนลงทุนไป 100$ ทำให้เราได้กำไร (หรือขาดทุน) เพิ่มขึ้นด้วยเงินเพียงนิดเดียว ถ้า Leverage มากขึ้น ก็ยิ่ง กำไรขาดทุนมากขึ้นไปอีกครับ ที่เงินลงทุนเท่ากัน ยิ่ง Leverage เยอะเวลา - ยิ่งขาดทุนเยอะนะครับ ต้องระวังไว้ด้วย

ในโบรกเกอร์ จะมีการกำหนด Leverage ที่ต่างกันแล้วแต่ทางโบรกเกอร์เค้าครับ 1:100, 1:200 หรือ บางโบรกเกอร์ 1:500 ก็มี เช่นค่า Leverage 1:100 ถ้าเราซื้อ EUR/USD $1 ถ้าราคาขึ้นไป 10 จุดแล้วขาย เราก็จะได้กำไร $0.1 ถ้าไม่มีค่า Leverage หรือเป็น 1:1 เราจะได้กำไรเพียง $0.001 เท่านั้น



วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

Posted by Forex Trader | File under :

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเทรด Forex


บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น

1. เรียนรู้พื้นฐาน
ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !เป็นเรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว

3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง  
การฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน
พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้...1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด

4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง  
ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้...1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด
ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป
คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?

5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้
การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย 
วิธีแก้ คือใช้เด โมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้ ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า...

6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้
นี่เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้ แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว
ความลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น
ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู...1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม

8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป 
แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้นอย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึ

9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
  1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
  3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น
ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10

10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?
ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า
คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
  1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
  2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
  3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
  4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป
  5. ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า
ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียวเมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้

11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา
การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
  1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
  2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
  3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
  4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
  5. จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ
ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!
เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น

ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้... 1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ?Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ
อย่างน้อยไม่ควรมีเกินสองตัวในกราฟของคุณ


Credit  :  http://www.thenpoor.ws/forex/12tip.html