Price Movement
คนที่หลงอยู่ในป่า กับคนที่อยู่บนหน้าผามองเห็นคนที่หลงป่าอยู่ ใครจะหาเส้นทางที่ถูกต้องได้มากกว่ากัน
ก่อนจะเริ่มดูรูปแบบการวิ่งของราคาสิ่งที่เราควรทำก่อนคือ ดูที่ timeframe 1H/4H แล้ว zoom out ออกมา
เพราะการวางแผนการรบ เราไม่ควรวางแผนขณะที่รบพุ่งอยู่ในแนวหน้า แต่ควรถอยออกมาให้มากที่สุด
ที่ยังเห็นการรบชัดเจน และมองในตำแหน่งที่สูงที่สุด
เราแบ่งรูปแบบการวิ่งของราคาได้ 4 แบบ
1.แนวนอน - horizontal
2.แนวตั้ง - vertical
3.แนวทแยง - diagonal
4.แนวบีบตัว - squeeze
1.แนวนอน - horizontal
เป็นช่วงเวลาที่ sm กำลังวางแผนบางอย่างเพื่อทำกำไรอยู่ แต่หากดูที่ time frame สั้นๆ ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีการ trade
ก็อาจจะเห็นเป็นsidewayได้ sidewayแบบนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆในการวิเคราะห์
แบ่งได้อีกเป็น แบบ
channel - เป็น zoneแนวนอนแคบๆ วิ่งขึ้นลงระหว่างแนวรับและแนวต้าน
step - วิ่งขึ้นลงระหว่างแนวรับและแนวต้านและพักตัวเป็น block เล็กๆที่แนวรับและแนวต้าน มักพบได้ใน time frame สั้นๆ
โดยมีตัวอย่างการวิ่งตามรูป
2.แนวตั้ง - vertical
การวิ่งในแนวตั้งจะเกิดจากการ break out ออกจาก accumulation/distribution zone และวิ่งอย่างรวดเร็วรุนแรง
เนื่องจาก demand หรือ supply ขาดตลาด
การจะเกิดการวิ่งแนวตั้งได้มักเกิดจาก
SM Set up(จัดฉาก) - เมื่อ sm สามารถคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จ จะเกิดการวิ่งแนวตั้งที่รุนแรงและทำให้เกิด momentum ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
ข่าวแรงๆที่มีผลต่อภาพรวมเศรษกิจ - เช่น GDP ตั้งเป้าไว้ว่าเป็น + แต่กลับติดลบ หรือกรณีของดูไบเวิร์ลขอพักชำระหนี้
ทำให้นักลงทุนปล่อยของที่อยู่ในมือพร้อมๆกัน พร้อมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกถึงทิศทางของราคาอยู่ในใจ smเองก็ต้องปล่อยออกไปบางส่วน
เพื่อลดความเสี่ยง
3.แนวทแยง - diagonal
มักเกิดจากmomentumที่ส่งต่อมาจากการวิ่งแบบแนวตั้ง ซึ่งก็คือตลาดมีเทรนด์นั่นเอง ในหัวข้อนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก
เราจะเอาไว้ลงลึกในคราวหลัง
4.แนวบีบตัว - squeeze
เราจะเห็นได้เมื่อราคาวิ่ง ขึ้น-ลง โดยไม่มีการพักตัว และบีบเข้าหาzoneที่แคบลงเรื่อยๆ เป็นรูป 3 เหลี่ยม เหมือนเอาไม้เทนนิส
กดลูกเทนนิสที่กำลังเด้งแรงๆอยู่ พลังงานที่สะสมอยู่ในช่องแคบๆจึงมีมาก(ตัดการสูญเสียพลังงานจากการชนทิ้งไป) พร้อมจะพุ่ง
ออกไปทางใดทางหนึ่ง
ต่อไปเราจะดูตัวอย่างกราฟและพยายามตีความ การวิ่งของราคา
1.side way step - sm กำลังจัดฉาก(set up) ทำการกวาดdemandออกไป จากตลาด(short)
2.break out เป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์
3.momentum เป็นผลต่อเนื่องจากการ break out
4.เทรนด์เปลี่ยนทิศ จากการปล่อยของทำกำไร แต่ไม่มีsideway ไม่มีbreak out มารองรับ ทำให้ไปได้ไม่ไกล
5.เกิด small sideway และbreak out ตามมาด้วยเทรนด์ที่ต่อเนื่องมาจาก จุดที่ 3
6.มีทั้ง sideway - bo - และมี trend momentum เล็กๆ แต่ sideway นั้นน้อยเกินไปที่จะหัก trend line ที่ต่อเนื่องมาจากจุด 1
จึงเกิดsidewayตามมาเพื่อกวาด supply(open long/close short position) และราคาก็วิ่งแบบไร้ระเบียบ แต่โดยรวมยังเป็น
sideway step ตามมาด้วย sideway channel
7.เกิดการวิ่งแบบบีบตัวเป็นรูปสามเหลื่ยม และบีบตัวเข้าหากันเป็น sideway channel
8.เกิดเป็นรูปแบบซ้ำๆ sideway - break out - momentum
จะเห็นได้ว่า การเกิด trend นั้น มีองค์ประกอบ ที่ค่อนข้างชัดเจน ที่จะช่วยให้เราสังเกตุการเกิดเทรนด์ได้ง่ายขึ้นนั่นคือ
- sideway
- break out
- momentum
หากขาดสิ่งเหล่านี้ เทรนด์ก็อาจจะไม่แข็งแรงพอ ช่วยให้เราระวังตัวในการเทรดได้มากขึ้น
ขอให้ปลอดภัยในการเทรดนะครับ คราวหน้ามาต่อและลงลึกในเรื่องเทรนด์กัน
ขอบคุณผู้เขียน .... thunya จากบอร์ด http://thailandinvestorclub.com